วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ผลไม้ต่างๆ


มะม่วง เป็นไม้ยืนต้นในตระกูล Mangifera ซึ่งเป็นไม้ผลเมืองร้อนประมาณ 35 สปีชีส์ ในวงศ์ไม้ดอก Anacardiaceae เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ใบโต ยาว ปลายแหลม ขอบใบเรียบ ออกดอกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ดอกขนาดเล็ก สีขาว ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีเหลือง เมล็ดแบน เปลือกหุ้มเมล็ดแข็ง

กล้วย


ปาล์มและกล้วย เป็นพรรณไม้ล้มลุกในสกุล Musa มีหลายชนิด เช่น กล้วยน้ำว้า กล้วยน้ำไท กล้วยหอมทอง กล้วยหอมเขียว กล้วยไข่ กล้วยตานี กล้วยหักมุก กล้วยเล็บมือนาง กล้วยนิ้วมือนาง กล้วยส้ม กล้วยนาค กล้วยหิน กล้วยงาช้าง ฯลฯ บางชนิดก็ออกหน่อแต่ว่าบางชนิดก็ไม่ออกหน่อ ใบแบนยาวใหญ่ ก้านใบตอนล่างเป็นกาบยาวหุ้มห่อซ้อนกันเป็นลำต้น ออกดอกที่ปลายลำต้นเป็น ปลี และมักยาวเป็นงวง มีลูกเป็นหวี ๆ รวมเรียกว่า เครือ พืชบางชนิดมีลำต้นคล้ายปาล์ม ออกใบเรียงกันเป็นแถวทำนองพัดคลี่ คล้ายใบกล้วย เช่น กล้วยพัด (Ravenala madagascariensis) ทว่าความจริงแล้วเป็นพืชในสกุลอื่น ที่มิใช่ทั้งกล้วย

ประโยชน์ต่อสุขภาพ
ทราบ หรือไม่ว่าฝรั่ง 1 ขีด มีวิตามินซีสูงถึง 180 มิลลิกรัม วิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึงไม่แก่ก่อนวัย และวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เอง ที่ทำให้คอลลาเจน และอีลาสติเสื่อมสภาพ ผิวหนังเหี่ยวแห้ง เกิดริ้วรอยตีนกา วิตามินซีมีความสำคัญต่อการสร้างและบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เซลล์นับล้านตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ด้วยเนื่อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนี มันคือ คอลลาเจนตัวเดียวกับคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าเต่งตึงนั่นเอง

            

ประโยชน์ต่อสุขภาพ
องุ่น เป็นอาหารบำรุงร่างกายอีกชนิดหนึ่ง นอกจากจะมีคุณค่าทางอาหาร ยังมีสรรพคุณทางยาที่ดีหลายชนิด สารอาหารที่สำคัญ คือน้ำตาล และสารอาหารจำพวกกรดอินทรีย์อีกประมาณ 7-8 ชนิด น้ำตาลกลูโคส น้ำตาลซูโคส วิตามินซี นอกจากนี้ยังมีเหล็ก และแคลเซี่ยม
              องุ่นยังสามารถนำไปทำเหล้าองุ่น ซึ่งเป็นเหล้าบำรุง ส่วนเครือและราก ใช้เป็นยาขับลม ขับปัสสาวะ รักษาโรคไขข้ออักเสบ ปวดเอ็นกระดูก และมีฤทธิ์ระงับประสาท แก้ปวด แก้อาเจียนอีกด้วย
              การรับประทานองุ่นเป็นประจำ จะมีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง บำรุงหัวใจ แก้กระหาย ขับปัสสาวะ บำรุงกำลัง คนที่ร่างกายผอมแห้ง แรงน้อย แก่ก่อนวัย ไม่มีเรี่ยวแรง ถ้ารับประทานองุ่นเป็นประจำ จะช่วยเสริมทำให้ร่างกายค่อยๆแข็งแรงขึ้นได้


ประโยชน์ต่อสุขภาพ
รส และสรรพคุณยาไทย เอาเนื้อมาทำเป็นยาบำรุงกำลัง ทำให้เกิดความสดชื่นหอม โดยการเอาเนื้อชมพู่แห้งมาบดหรือรับประทานสดก็ได้ จะเกิดความสดชื่นขึ้นมาทันที สามารถนำมาบำรุงหัวใจได้มาก เพราะชมพู่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ

ทับทิม เป็นผลไม้ที่สวยงามและมีกลิ่นหอมมาก ทับทิมเป็นผลไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ ในประวัติศาสตร์ พบว่าได้มีการนำทับทิมมาทำเป็นยารักษาโรคตั้งแต่ 8,000 ปีมาแล้ว
ทับทิม POMEGRANATE   ( Punica granatum L. )

ทับทิม เป็นผล ไม้ที่สวยงามและมีกลิ่นหอมมาก ทับทิมสามารถปลูกได้ในประเทศไทย แต่ที่แท้จริงเป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากเปอร์เซีย (ประเทศอิหร่านในปัจจุบัน)  ทับทิมเป็นผลไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ ในประวัติศาสตร์ พบว่าได้มีการนำทับทิมมาทำเป็นยารักษาโรคตั้งแต่ 8,000 ปีมาแล้ว ในประเทศเปอร์เซียโบราณมีความเชื่อว่า คุณค่าทางอาหารทุกชนิดที่มีอยู่ในผลไม้ต่าง ๆ นั้น รวมกันอยู่ในทับทิม ทับทิมเป็นผลไม้ที่ได้รับการเพาะปลูกอย่างแพร่หลาย  และทำเป็นผลิตภัณฑ์ ไปทั่วโลก ในทับทิม มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ซึ่งมีมากทั้งใน เปลือก เมล็ด และน้ำทับทิม ได้แก่ polyphenols, anthocyanins,  anthrocyanidins, ellagic acid derivatives, และ hydrolyzable tannins
คุณประโยชน์ของ ทับทิมในตำราแพทย์สมัยโบราณ เปอร์เซียใน ผลทับทิมมีวิตามินมากมายหลายชนิด รวมทั้งแมกนีเซียมและแคลเซียม ซึ่งมีประโยชน์ต่อระบบฟอกโลหิต และระบบการหมุนเวียนในร่างกาย ในตำราแพทย์โบราณของเปอร์เซีย (ซึ่งถือว่าเป็นต้นตำรับของวิชาแพทย์ตะวันตกในปัจจุบัน) ระบุว่าทับทิมมีประโยชน์มากมาย
คุณประโยชน์ ทับทิม จากการวิจัยทางการแพทย์
1. ทับทิม มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่มีประสิทธิภาพสูงมาก (อ้างอิงที่ 1 )
2. สามารถลดภาวะการสะสมไขมันในผนังเส้นเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตันและแข็งตัวซึ่งจะให้เป็นโรคหัวใจขาดเลือดตามมา ทั้งในคนและในหนูทดลอง ( อ้างอิงที่ 2, 3  )
3. ทำให้เส้นเลือดที่หนาตัวและมีไขมันสะสมแล้วซึ่งเป็นเส้นเลือดที่ไม่ดีแล้ว  มีความหนาตัวลดลง และลดไขมันที่สะสมลงอีกด้วยในหนูทดลอง (อ้างอิงที่ 4)
4. บำรุงหัวใจในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด โดยเพิ่มการไหลเวียนที่ดีขึ้นและลดภาวะหัวใจขาดเลือดในผู้ป่วยโรคหัวใจ (อ้างอิงที่ 5)
5. ลดความดันโลหิตได้เล็กน้อย ประมาณ 5%  ในผู้ป่วยที่ความดันโลหิตสูง ถ้ารับประทานน้ำทับทิมวันละ 50 ซีซี เป็นเวลาสองสัปดาห์  ( อ้างอิงที่ 6 )
6. บำรุงตับ ป้องกันการเป็นพิษต่อตับ ได้ ( Hepatoprotectiv effect ) ( อ้างอิงที่ 7 ) 
7. สารต้านอนุมูลอิสระจากน้ำทับทิมมีผลยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านมของมนุษย์ ( Human breast cell ) ( อ้างอิงที่ 8)
8. สารสกัดจากทับทิม ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากของมนุษย์ ทั้งการแบ่งตัวและการแพร่กระจาย  ( อ้างอิงที่ 9 )  และมีงานวิจัยที่แนะนำให้กินหวังผลในการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก ( อ้างอิงที่ 10 )
เอกสารอ้างอิง
1. Studies on the antioxidant activity of pomegranate (Punica granatum) peel and seed extracts using in vitro models. J Agric Food Chem 2002 Jan 2;50(1):81-6
2. Pomegranate juice supplementation to atherosclerotic mice reduces macrophage lipid peroxidation, cellular cholesterol accumulation and development of atherosclerosis. J Nutr 2001 Aug;131(8):2082-9
3. Pomegranate juice flavonoids inhibit low-density lipoprotein oxidation and cardiovascular diseases: studies in atherosclerotic mice and in humans. Drugs Exp Clin Res 2002;28(2-3):49-62
4. Pomegranate juice consumption reduces oxidative stress, atherogenic modifications to LDL, and platelet aggregation: studies in humans and in atherosclerotic apolipoprotein E-deficient mice. Am J Clin Nutr 2000 May;71(5):1062-76
5. Effects of pomegranate juice consumption on myocardial perfusion in patients with coronary heart disease. Am J Cardiol. 2005 Sep 15;96(6):810-4
6. Pomegranate juice consumption inhibits serum angiotensin converting enzyme activity and reduces systolic blood pressure. Atherosclerosis 2001 Sep;158(1):195-8
7. Studies on antioxidant activity of pomegranate (Punica granatum) peel extract using in vivo models. J Agric Food Chem 2002 Aug 14;50(17):4791-5
8. Chemopreventive and adjuvant therapeutic potential of pomegranate (Punica granatum) for human breast cancer. Breast Cancer Res Treat 2002 Feb;71(3):203-17
9. Pomegranate extracts potently suppress proliferation, xenograft growth, and invasion of human prostate cancer cells. J Med Food. 2004 Fall;7(3):274-83.
10. Prostate cancer prevention through pomegranate fruit. Cell Cycle. 2006 Feb;5(4):371-3. Epub 2006 Feb 15.

ขอบคุณเนื้อหาจาก http://www.giffarinethailand.com/

อากาศเย็นๆควรกินอะไร


                                                                     
 
                             
ร้อนๆกับซุบ
กับอากาศเย็นๆ

เคยสังเกตไหมว่า เมื่ออากาศเปลี่ยน อาหารที่เราอยากกินก็เปลี่ยนตาม ช่วงอากาศหนาวๆ ความรู้สึกอยากกินเครื่องดื่มอุ่นๆ หรือ อาหารรสชาติเผ็ดร้อน จะวิ่งปรู๊ดขึ้นมาอยู่อันดับต้นๆ ทันที ทั้งที่ปกติ อาหารประเภทนี้จะอยู่บ๊วยๆ ของลิสต์ช่วงหน้าร้อน

จริงอยู่ที่ไม่ว่าจะกินหรือย่อยอาหารประเภทไหน อุณหภูมิในร่างกายจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็มีอาหาร บางชนิดที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการผลิตความร้อน มากกว่าอาหารชนิดอื่นๆ เช่น อาหารที่มีโปรตีนสูง จะให้ความอบอุ่นมากกว่าอาหารจำพวกแป้งหรือไขมัน อาหารโปรตีนสูงที่ผ่านการเคี่ยว หรือตุ๋น จึงเหมาะสำหรับกินช่วงฤดูหนาว ส่วนอาหารรสเผ็ดร้อน รวมถึงยาจีนแผนโบราณ ที่ประกอบด้วยส่วนผสมรสเผ็ดร้อน อาทิ ขิง พริก พริกไทย กระเทียม ฯลฯ ก็ล้วนเป็นอาหารที่จำเป็น ในช่วงนี้ เพราะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นจากภายในได้

‘ซุป’ เมนูฟื้นฟูหวัด! ซุปไก่ที่ปรุงแบบดั้งเดิมนี่แหละ ให้ประโยชน์สุดๆ แก่ร่างกาย เพราะนอกจากจะทำให้ ร่างกายได้รับน้ำแล้ว ในสมัยโบราณ ซุปไก่ยังนำมาใช้ดื่มเพื่อฟื้นฟูอาการจากโรคหวัดด้วย เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนมาจากคำอธิบายที่ว่า เครื่องดื่มหรืออาหารจำพวกน้ำร้อนๆ จะทำให้จมูกโล่ง ลดอาการคัดจมูก และช่วยเร่งการไหลระบายออกของเมือกภายในจมูกได้เป็นอย่างดี เครื่องเทศในน้ำซุปที่มีกลิ่นฉุน อาทิ หัวหอม พริกไทย จะกระจายเป็นไอที่เราหายใจเข้า ทำให้จมูกโล่งขึ้น และไม่เฉพาะซุปไก่เท่านั้น โปรตีนไขมันต่ำอย่างปลาและสัตว์ปีก ก็เหมาะที่จะ นำมาเคี่ยวหรือตุ๋นเป็นเมนูยอดฮิตสำหรับฤดูหนาวเหมือนกัน                                                                                                                                                     
          “ไข้หวัด” ดูจะเป็นโรคที่เป็นธรรมดาสามัญที่เราทุกคนต่างคุ้นเคยกันดี ว่ากันว่าในหนึ่งปีมีคนที่ต้องเผชิญกับไข้หวัดถึงร้อยละ 94-96 นั่นก็เท่ากับว่ามีคนเพียง 4-6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่สามารถรอดพ้นจากหวัดได้ ไข้หวัดเกิดได้ตลอดทั้งปีหากร่างกายของเราอ่อนแอ นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ และอากาศยังเปลี่ยนแปลงบ่อย ยิ่งช่วงนี้อากาศบ้านเรามีฝน แถมยังมีอากาศหนาวยามเช้า ทำเอาสภาพร่างกายของหลายคนปรับตัวไม่ทัน เพราะมักจะคุ้นชินกับอากาศร้อนเสียมากกว่า ทำให้หันไปทางไหนเดี๋ยวคนโน้นก็จาม คนนี้ก็น้ำมูกไหลเป็นไข้กันระนาว ต้องหาซื้อยามารับประทานกันเป็นว่าเล่น บางคนอยากหายเร็วหน่อยก็ให้คุณหมอฉีดยาให้รู้แล้วรู้รอดกันไป หลายคนอาจจะเบื่อที่เป็นหวัดทีไรก็ต้องพึ่งยาพึ่งหมอกันทุกที ไม่มีวิธีอื่นเลยหรือที่จะบรรเทาอาการหวัดที่แสนจะน่ารำคาญเหล่านี้ได้

 
          
 
 
         ช่วงนี้เริ่มเข้าหน้าหนาวแล้วนะคะ กัลยาณมิตรหลายๆท่านเริ่มป่วยเนื่องจากร่างกายปรับสภาพไม่ทัน  หลายท่านที่พอป่วยแล้วภานาดีขึ้น ได้ถือโอกาสดูทุกข์  แต่หลายๆท่านพอป่วยแล้วทำให้การภาวนาแย่ลงไป เนื่องจากตอนป่วยจะปวดหัว ตัวร้อน ต้องกินยา ซึ่งจะทำให้ง่วงมีโมหะครอบงำ ทำให้ดูกายดูใจได้ไม่ดีเท่าที่ควร
เมื่อไม่นานมานี้ผมได้อ่านพระไตรปิฏกเกี่ยวกันเรื่องสัปปายะ ซึ่งมีดังนี้
1. อาวาสสัปปายะ (ที่อยู่ซึ่งเหมาะกัน เช่น ไม่พลุกพล่านจอแจ)
2. โคจรสัปปายะ (ที่หาอาหาร ที่เที่ยวบิณฑบาตที่เหมาะดี เช่น มีหมู่บ้านหรือชุมชนที่มีอาหารบริบูรณ์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป)
3. ภัสสสัปปายะ (การพูดคุยที่เหมาะกัน เช่น พูดคุยเล่าขานกันแต่ในกถาวัตถุ 10 และพูดแต่พอประมาณ)
4. ปุคคลสัปปายะ (บุคคลที่ถูกกันเหมาะกัน เช่น มีท่านผู้ทรงคุณธรรม ทรงภูมิปัญญาเป็นที่ปรึกษาเหมาะใจ)
5. โภชนสัปปายะ (อาหารที่เหมาะกัน เช่น ถูกกับร่างกาย เกื้อกูลต่อสุขภาพ ฉันไม่ยาก)
6. อุตุสัปปายะ (ดินฟ้าอากาศธรรมชาติแวดล้อมที่เหมาะกัน เช่น ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนเกินไป เป็นต้น)
7. อิริยาปถสัปปายะ (อิริยาบถที่เหมาะกัน เช่น บางคนถูกกับจงกรม บางคนถูกกับนั่ง ตลอดจนมีการเคลื่อนไหวที่พอดี)
วันนี้จึงจะนำเสนอเรื่อง โภชนสัปปายะ อาหารที่เกื้อกูลกับสุขภาพของผู้ภาวนาในหน้าหนาว
แพทย์ได้แนะนำเอาไว้ว่า
1.ควรทานอาหารที่มีรสร้อน เช่น พริกไทย ไม่ว่าจะเป็นพริกไทยอ่อน พริกไทยดำ พริกไทยขาว หรือพริกไทยป่น  ซึ่งแพทย์ได้แนะนำว่าถ้าเป็นพริกไทยป่นให้ทานร่วมกับอาหารประมาณครึ่งช้อนชา ต่ออาหารหนึ่งมื้อ เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นต้านทานความหนาวเย็นได้ดี
2. อาหารที่มีวิตามิน C สูง เช่น แกงส้มดอกแค หรือผลไม้ต่างๆ อาหารที่มีรสเปรี้ยวแต่พอดีไม่เปรี้ยวมากเกินไปจะทำให้เลือดลมเดินดี และช่วยลดเสมหะในลำคอ  และอาหารรสเปรี้ยว(แต่พอดี)ยังช่วยในเรื่องการขับถ่ายด้วย
      สิบอับดับผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เรียงจากมากไปน้อย ได้แก่
      1. ฝรั่ง
      2. ผลกีวี
      3. มะละกอ
      4. แคนตาลูป
      5. สตรอเบอรี่
      6. มะม่วง
      7. มะนาว
      8. ส้ม
      9. แพชชันฟรุ๊ต
      10.ผลเคอเร้นสีแดง
3. ทานหัวหอม เพราะในตัวหอมเอง ก็มีสารเคอร์ซิติน (Quercetin) ที่มีฤทธ์ต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ เพิ่มภูมิคุ้มกัน และต้านฮิสตามีน
4. ทานน้ำขิง น้ำข่า เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น
 
5.ไม่ควรทานอาหารที่มีรสมัน เนื่องจากจะทำให้เกิดเสมหะเยอะ ซึ่งจะทำให้เกิดการไอและระคายคอได้
 
        รักษาสุขภาพ ทานอาหารที่เหมาะกับฤดู กับ อากาศ จะช่วยให้เราไม่ป่วย ทำให้การภวนาของเราไม่ถูกอาการไข้ไม่สบายรบกวน เนื่องจากเวลาของเรามีน้อยลงทุกวันๆ ดังนั้นเราต้องรีบเร่งภาวนาให้ได้มากที่สุด อย่าให้ชักช้า ไม่อย่างนั้นพวกเราต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกสักเท่าไหร่ก็ไม่รู้

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เติมความสดชื้นให้กับชีวิต

แคนตาลูปได้เข้ามาปลูกในบ้านเราได้ประมาณ 20 กว่าปีมานี้เอง แต่ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ด้วยเนื้อที่มีรสชาติเยี่ยม เสน่ห์ของแคนตาลูปอยู่ที่กลิ่นหอม เนื้อมีความกรอบเมื่อเคี้ยว ประกอบกับรสหวาน ยิ่งถ้ากินตอนแช่เย็นยิ่งอร่อยชื่นใจ นอกจากกินเป็นผลไม้สดแล้ว แคนตาลูปยังนิยมนำมาทำน้ำผลไม้เครื่องดื่มสุขภาพได้อย่างดีเยี่ยม

ในแคนตาลูปสุกครึ่งลูก มีสารอาหารต่างๆ มากมาย มีแคลเซียม 38 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 44 มิลลิกรัม เหล็ก 1.1 มิลลิกรัม โซเดียม 33 มิลลิกรัม โปตัสเซียม 682 มิลลิกรัม วิตามินเอมีมากถึง 9,240 I.U. ไนอาซีน 1.6 มิลลิกรัม และวิตามินซีก็มีมากถึง 90 มิลลิกรัม ซึ่งใกล้เคียงกับส้มเขียวหวานเลยทีเดียว และยิ่งถ้าซื้อแคนตาลูปในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลของแคนตาลูป แคนตาลูป แคนตาลูปจะมีสารอาหารจำพวกไรโบฟลาวิน ไนอาซิน ไทอามิน และวิตามินซีสูงเป็นพิเศษ

น้ำแคนตาลูปนอกจากดื่มแก้กระหายคลายร้อน ช่วงเดือนเมษายนได้อย่างดีแล้ว ยังช่วยลดไข้ เพราะแคนตาลูปเป็นผลไม้เย็น ส่วนน้ำตาลและเอ็นไซม์ที่มีอยู่ในแคนตาลูป ยังช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการอักเสบของลำไส้ และบรรเทาอาการท้องปั่นป่วนจากการรับประทานอาหารไม่ตรงตามเวลาได้

การทำน้ำแคนตาลูปให้ได้รสหวานเย็นชื่นใจนั้น ต้องเลือกซื้อแคนตาลูปที่สุกกำลังดี ไม่อ่อนเกินไป แคนตาลูปอ่อนจะไม่มีกลิ่นหอม ถ้าสุกเกินไป เมื่อเขย่าดูจะมีน้ำอยู่ข้างใน แสดงว่าไส้ล้ม เลือกผลขนาดกลาง ซึ่งมีน้ำหนักประมาณสักหนึ่งกิโลกรัมก็ใช้ได้แล้ว นอกจากดูน้ำหนักแล้ว ผิวของแคนตาลูปก็มีส่วนสำคัญ ผิวต้องเรียบตึง สวย ไม่เป็นร่องหยัก เลือกที่สีนวลเหมือนเปลือกไข่

น้ำแคนตาลูป
วิธีทำ
1. แคนตาลูปปอกเปลือกเอาเมล็ดออก หั่นชิ้นเล็กปริมาณ 1 ถ้วย
2. แตงโมเอาเมล็ดออก หั่นชิ้นเล็ก 1/2 ถ้วย
3. น้ำส้มคั้น 1/2 ถ้วย
4. น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในโถปั่น ปั่นด้วยความเร็วสูงจนเนื้อเนียนเข้ากันดี เทใส่แก้ว ดื่มทันที

น้ำแคนตาลูปผสม
วิธีทำ
1. แคนตาลูป 1 ลูก ผ่าครึ่ง ใช้ช้อนตักเอาเมล็ดออก หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมไม่ต้องใหญ่มาก นำไปปั่นจนเนื้อแตงเนียน พักไว้
2. นำน้ำนมถั่วเหลือง 1 ถ้วย น้ำผึ้งหรือน้ำตาลสีรำ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำแข็งเกล็ด 1 1/2 ถ้วย ใส่ลงในโถปั่น ปั่นด้วยความเร็วสูง ประมาณ 1 นาที แล้วจึงใส่น้ำแคนตาลูปลงไปปั่นรวมกัน นานอีก 1 นาที จนเข้ากันดี รินใส่

http://rafaeldejulia.com/wp-content/uploads/2011/12/watermelonjuice.jpg

แตงโม เป็นผลไม้ฉ่ำน้ำ มีความเย็น รสหวาน รับประทานเป็นผลไม้แก้กระหายคลายร้อนได้อย่างดี หรือนำมาทำเป็นน้ำแตงโมปั่น น้ำแตงโมเชค ดื่มแก้กระหาย หรือดื่มเป็นน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ ดื่มกันได้ตลอดทั้งวัน อาจเป็นช่วงระหว่างมื้ออาหาร หรือก่อนนอนก็ได้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อ่อนเพลียมากๆ เช่น ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะพักฟื้น หรือหลังจากการผ่าตัด เพราะน้ำแตงโมช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้น

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับคุณค่าทางอาหาร

มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา และวิตามินซี ช่วย ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน

คุณค่าทางยา

ช่วยขับปัสสาวะ ปากเป็นแผล แก้ร้อนใน แก้ กระหายน้ำ


น้ำแก้วมังกร

แก้วมังกรจึงเป็นผลไม้บริสุทธิ์ปลอดภัยจากสารพิษ มีกากใยสูง แคลอรี่ต่ำ อุดมไปด้วยวิตามินซี คลอโรฟิลล์ เมล็ดของแก้วมังกรอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวสามารถต่อต้านปฏิกริยาอ๊อกซิเด ชั่นทานแล้วนอกจากดับร้อนผ่อนกระหายยังบำรุงสุขภาพผิวพรรณสดชื่น ในสุภาพสตรีจะช่วยกระตุ้นต่อมน้ำนม ใช้เป็นผลไม้เสริมสุขภาพ และความงามได้เป็นอย่างดี แก้วมังกร ผลไม้พันธุ์ใหม่ รสชาติหวานกรอบอร่อย กำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ต้นปลูกง่าย ให้ผลผลิตเร็ว ปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ ได้ผลผลิตสูงให้ผลกำไรเร็ว ปลูกโดยไม่ต้องเลือกดิน ดูแลง่าย



แหล่งข้อมูล : http://pirun.ku.ac.th/~b521020095/present_drink.html 

น้ำ ผลไม้-สมุนไพร เลือกอย่างไรปลอดภัย...สุขภาพดี น้ำผลไม้ น้ำสมุนไพรในปัจจุบันมีให้เลือกดื่มหลากรูปแบบทั้งสำเร็จรูปบรรจุขวด กล่อง กระ ป๋องหรือแม้แต่ปั่น คั้นดื่มกันสด ๆ ขณะที่ผลไม้แต่ละชนิดมีคุณค่า คุณประโยชน์แตกต่างกันไปในการเลือกดื่มเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดกับร่างกาย เป็นสิ่งสำคัญ จากความโดดเด่นของผลไม้ทั้งในด้านรสชาติ กลิ่นหอม สีสวยสะดุดตา ในด้านคุณค่าอาหารไม่ว่าจะเป็นวิตามิน เกลือแร่ ใยอาหาร ฯลฯ ผ....

กินแล้วดี

อาหารเพื่อสุขภาพ ผลไม้ 10 อย่างที่กินแล้วไม่อ้วน

ผลไม้ 10 ชนิดต่อไปนี้ จัดเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินและเกลือแร่ และ กินได้บ่อยๆ แบบไม่ต้องกลัวอ้วน ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์และเพิ่มภูมิคุ้ม กันอีกด้วย ผลไม้ทั้ง 10 ชนิดนี้มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตเฉลี่ย 1.9 – 10 กรัมต่อน้ำหนัก 100 กรัม โดยอะโวกาโดมีคาร์โบไฮเดรตต่ำสุด แอปเปิลมีคาร์โบไฮเดรตสูงสุด

ผลไม้

1. กีวี - มีสารแอกทินิดีน ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทำให้หัวใจแข็งแรง
2. มะเขือเทศ - ช่วยลดความเสียงจากมะเร็งและโรคหัวใจ
3. มะละกอ – ช่วยย่อยอาหารและโปรตีน
4. อะโวกาโด – ช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็งชนิดต่างๆ ได้ถึง 30 ชนิด
5. สับปะรด – ช่วยต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
6. ผลไม้จำพวกเบอร์รี่ – เช่น สตอเบอร์รี่ แบลคเบอร์รี่ ผลไม้กลุ่มนี้ดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต
7. แครนเบอร์รี่ – ช่วยป้องกันนิ่วในไต ต้านเชื้อไวรัส
8. ผลไม้ตระกูลส้ม – ช่วยลดคอเลสเตอรอล และไขมันในเส้นเลือด
9. ผลไม้กลุ่มแตง – มีสรรพคุณสูงสุดในการล้างพิษให้กับร่างกาย
10. แอปเปิ้ล – ช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร

อาหารเพื่อสุขภาพ สลัดนิค้อยส์

สลัดนิค้อยส์เป็นสลัดแบบฝรั่งเศส ถ้าใส่ไข่ด้วยจะช่วยเสริมโปรตีนและสารอาหารให้ครบถ้วน

ส่วนผสม

ผักกาดหอมหั่นท่อน 1 ต้น
แตงกวาหั่นเป็นแว่น 2–3 ลูก
มะเขือเทศผ่าหกซีก 2 ผล
หัวหอมใหญ่หั่นแว่น 1 หัว
ปลาทูน่า 1 กระป๋อง
น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มสายชู 1 ช้อนชา
เกลือ 1/4 ช้อนชา
พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
ใบเบซิล ออริกาโน และใบไทม์ป่น
มะกอกดำ 1 ถ้วย
ไข่ต้มสุก 2 ฟอง

วิธีทำ

จัดผักใส่ชามสลัด วางปลาทูน่า ลูกมะกอกฝรั่งดำ ไข่ต้มผ่าหกซีก ราดน้ำสลัด

วิธีทำน้ำสลัด

ผสมน้ำมันมะกอก น้ำส้ม เกลือ พริกไทย เครื่องเทศต่างๆ ใส่รวมกันตีให้เข้ากัน ถ้าชอบหวานเติมน้ำตาลเล็กน้อย

อาหารเพื่อสุขภาพ สับปะรด เกรปฟรุต- เสริมภูมิคุ้มกัน

อาหารเพื่อสุขภาพ หากอยากมีร่างกายที่แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันต้านเชื้อโรคจะได้ไม่เจ็บป่วยง่าย ‘มุมสุขภาพ-กินดี’ เตรียม เครื่องดื่มที่มีสรรพคุณเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง โดยอาศัยสารอาหารที่มีประโยชน์จากเก รปฟรุต และสับปะรด

เกรปฟรุต’ อุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามินซี กรดซิตริก และไบโอฟลาโวนอยด์ ซึ่งมีประโยชน์กับตับ ดีต่อภูมิคุ้มกันของร่างกาย สามารถชะล้างสารพิษและทำความสะอาดร่างกาย ทั้งยังช่วยละลายเมือกและของเสียจากระบบภายในร่างกายทั้งหมด ปรับค่าพีเอชของเลือดและของเหลวในร่างกายให้มีความเป็นด่าง

นอกจากนี้เกรปฟรุตยังมีกรดซาลิไซลิก ช่วยละลายแคลเซียมที่ตกผลึกและอยู่ตามข้อต่อ บรรเทาโรคข้อต่ออักเสบได้

สำหรับ ‘สับปะรด’ เปี่ยมด้วยวิตามินซี กรดโฟลิก โพแทสเซียม โซเดียม และแมกนีซียม โดยรวมแล้วสับปะรดสามารถต้านอาการอักเสบและช่วยย่อยโปรตีนได้ดี แถมยังมีเอนไซม์โบรเมลิน ที่ช่วยรักษาค่าพีเอชของร่างกายให้สมดุล

ส่วนผสมของเครื่องดื่มมีให้เตรียมดังต่อไปนี้...

* เกรปฟรุต 2 ถ้วย
* สับปะรด 1 ถ้วย
* น้ำแร่ 1 ถ้วย
* น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย


ขั้น ตอนในการผสมเครื่องดื่ม เริ่มด้วยการนำเกรปฟรุต (จะปอกเปลือกหรือไม่ก็ได้ แต่ส่วนแกนและเมล็ดไม่ควรทิ้ง) และสับปะรดหั่นเป็นชิ้นขนาดกลาง จากนั้นนำไปสกัดเอาแต่น้ำด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เติมน้ำแร่ลงไปเล็กน้อย คนส่วนผสมให้เข้ากัน เติมน้ำแข็งป่นเพื่อความเย็นสดชื่น พร้อมดื่มได้ทันที.

อาหารเพื่อสุขภาพ ลดน้ำตาลและความอยากอาหารด้วยแอปเปิ้ล

อาหารเพื่อสุขภาพ ลดน้ำตาลและความอยากอาหารด้วยแอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีรสชาติดี แถมยังช่วยลดน้ำตาลและความอยากอาหารได้อีกด้วย วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาบอก...

- แอปเปิ้ลมีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ขนิดละลายน้ำ ที่มีชื่อว่า เพคติน และยังมีกรด 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน แต่ที่น่าสนใจ คือ เพคตินนี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนักและลดโคเลสเตอรอลได้

- แอปเปิ้ลเพียงหนึ่งลูกจะช่วยลดความหิวได้ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 % ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง

- แอปเปิ้ล 2-3 ผลต่อวัน ช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ เพราะแอปเปิ้ลมีเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ผลการวิจัยระบุว่า เมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมันและแยกโคเลสเตอรอลออกมาเสร็จสิ้นแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ลจะไปคอยดักจับโคเลสเตอรอลเหล่านั้นและพาทิ้งก่อนที่จะถูก ดูดกลับเข้าร่างกาย และยังพบว่าแอปเปิ้ลลดโคเลสเตอรอลในผู้หญิงได้ดีกว่าผู้ชาย

- แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานและผู้ที่ต้องการควบคุม น้ำตาลในเลือด เพราะเมื่อรับประทานอาหารเข้าไปอาหารแต่ละชนิดจะถูกย่อยสลายและดูดซึมผ่าน ผนังกระเพาะลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะเพิ่มช้าหรือ เร็วขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของอาหารนั้น ๆ เช่น ถ้ารับประทานน้ำผึ้ง น้ำตาลในเลือดจะขึ้นอย่างรวดเร็วในทันที แต่สำหรับแอปเปิ้ลถึงแม้จะมีน้ำตาลธรรมชาติในเนื้อแอปเปิ้ลมาก แต่ก็ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ

อาหารเพื่อสุขภาพ ทาน งา เป็นประจำ ชะรอความแก่

อาหารเพื่อสุขภาพ งา ในที่นี้ไม่ ได้หมายถึง งาช้าง แต่หมายถึง งา อาหารที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์นานัปการ มุมสุขภาพ-กินดี วันนี้ จึงขอแนะนำให้ผู้อ่านทราบถึงคุณค่าของงา

เริ่ม จาก งาดำ ที่ได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ มักอยู่ในรูปของส่วนผสมในเครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ การรับประทานงาดำจะช่วยให้นอนหลับได้สนิท และตื่นนอนพร้อมความรู้สึกสดชื่นกระปรี้ประเปร่า ทั้งยังป้องกันเหน็บชา ป้องกันอาการท้องผูก บำรุงกระดูก และบำรุงรากผม ทำให้ผมดกดำ

ส่วน น้ำมันงาดิบ หากนำมาใช้นวดตัวเป็นประจำ ช่วยปรับระบบประสาท คลายกล้ามเนื้อ ชะลอความเสื่อมของผิวหนังและกล้ามเนื้อ ให้แลดูอ่อนเยาว์กว่าวัยอยู่เสมอ

อย่าง ไรก็ตาม งา ถือเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินนานาชนิด เช่น บี1, 2, 3, 5, 6 และ 9 มีสรรพคุณในการช่วยย่อยไขมัน ลดคอเลสเตอรอล ทั้งยังมีวิตามินอี ซึ่งเป็นยาอายุวัฒนะ ชะลอความแก่ และเป็นอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันการเกิดมะเร็ง เหมาะกับทุกเพศทุกวัย

สำหรับเมนูสุขภาพที่ปรุงจากงา ทำไม่ยากที่จะแนะนำ คือ เกี๊ยวกรอบคลุกงา มีส่วนเพียงไม่กี่อย่าง ประกอบด้วย

แผ่นเกี๊ยว
งาขาว และงาดำ อย่างละ 4 ช้อนโต๊ะ
เกลือ พอประมาณ
น้ำมันพืชสำหรับทอด พอประมาณ

ส่วน ขั้นตอนในการทำ เริ่มด้วยการนำงาทั้งสองชนิดมาผสมกัน นำแผ่นเกี๊ยวพรมน้ำเล็กน้อย จากนั้นโรยหน้าด้วยงาที่ผสมรอไว้ นำลงทอดในกระทะที่มีน้ำมัน 1 ใน 3 ทอดจนแผ่นเกี๊ยวฟูและเหลืองกรอบ ตักขึ้นซับน้ำมันแล้วโรยเกลือเล็กน้อย สามารถรับประทานพร้อมน้ำจิ้มรสหวาน หรือนำไปใส่ในสลัดผักก็ยังได้

ที่ มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

เกิดมาก็ต้องกิน

โดยธรรมชาติแล้วเชื้อแบคทีเรียจะมีปะปนมากับอาหารทุกชนิด แต่เมื่อนำมาปรุงอาหารผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ที่ถูกต้อง และถูกสุขลักษณะ เชื้อเหล่านี้ก็จะสลายไป แต่ในทางกลับกันหากนำไปปรุงไม่ถูกวิธีก็จะเพิ่มปริมาณ และส่งผลเสียต่อร่างกาย
 "ต้มยำกุ้ง" เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในการบริโภคของคนไทย และชาวต่างประเทศทั้งในทวีปเอเชียและแถบตะวันตก ปัจจุบันมีการผลิตเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศจำนวนมาก ส่วนประกอบของอาหารที่สำคัญในเครื่องต้มยำกุ้ง คือ ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด และพริก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพืชผัก สมุนไพรที่ให้สรรพคุณในการป้องกันและรักษาโรคได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งสิ้น



     ที่นี้เรามาทำความรู้จักกับส่วนประกอบต่างๆของต้มยำกุ้งกันดีกว่าว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง

1. ตะไคร้ (Lemon Grass) เป็นทั้งพืชและเครื่องเทศที่รู้จักกันดี เพราะมีกลิ่นหอมสามารถดับกลิ่นคาวของอาหารได้ นอกจากนี้ยังใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและเครื่องหอมต่างๆได้ หรือผสมใช้ในการผลิตยาฆ่าแมลง ป้องกันยุงกัด (สรรพคุณ  :  แก้จุกเสียด แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับเหงื่อและขับปัสสาวะ)

2. มะกรูด (Leech Lime) สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งผล รวมทั้งใบด้วย (สรรพคุณ  :  ผิวสดและแห้งแก้ลมหน้ามืด บำรุงหัวใจ, ผล ช่วยขับเสมหะ แก้ไอ น้ำลายเหนียว ฟอกเลือด ใช้สระผมให้ผมดำและขจัดรังแค, ราก แก้พิษฝีภายใน, น้ำมะกรูด ใช้ดองยาฟอกโลหิตสำหรับสตรี, ใบ แก้ไอ ดับกลิ่นคาว แก้ช้ำใน) 3. ข่า (Galanga) มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ใช้เป็นเครื่องเทศ แต่งกลิ่นอาหารได้หลายชนิด (สรรพคุณ  :  ขับลมในลำไส้ แก้ปวดบวมไซ้ท้อง น้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ต้านเชื้อรา)

4. มะนาว (Common Lime หรือ Lime) เป็นพืชที่มีประโยชน์หลายอย่าง มีรสเปรี้ยว (สรรพคุณ  :  แก้ปวดศรีษะ แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน แก้เหงือกบวม แก้อาเจียน แก้เมาเหล้า ลิ้นเป็นฝ้า ขจัดคราบบุหรี่ บำรุงตา ลดอาการไอ)

5. พริก (Cayenne Pepper) นอกจากเป็นเครื่องเทศแล้ว พริกยังช่วยแต่งรสชาติและสีให้อาหารด้วย พริกช่วยให้เจริญอาหารด้วย เพราะจะกระตุ้นให้น้ำลายในปากไหลออกมา (สรรพคุณ  :  ช่วยลดการสะสมไขมัน ช่วยลดการเกิดก๊าซที่เกิดจากการย่อยอาหาร ป้องกันไข้หวัด ใช้เป็นยาขับเสมหะ)

                      - ใส่ใจต่อการกินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจและ พลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน การกินอาหารเช้าช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่น ๆ น้อยลง

                 - กินโปรตีนที่ย่อยง่าย ลอง กินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีนที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปรกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อยย่อยง่าย เหมาะสำหรับสาวที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

                 - เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอม จ่ายแพงสักนิด ใช้น้ำมันมะกอกหรือ น้ำมันดอกทานตะวันปรุงอาหาร แทนน้ำมันแบบเดิมที่คุณเคยใช้ดีกว่า เพราะไม่มีไขมันที่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

                - ลองดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่ายรักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้คุณสดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

                - เพิ่มแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วย การดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งก้าง เต้าหู้ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรง ให้กับกล้ามเนื้อและกระดูกทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

 http://www.shineon.in.th/wp-content/uploads/2012/10/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-11.jpgอาหารไทย
น้ำพริกเมนูอาหารไทยแท้  
วันนี้ Shine On (ไชน-ออน) จะมาพูดถึงคุณประโยชน์ของ อาหารไทย อย่าง น้ำพริก อาหารประจำชาติ คู่ครัวไทย ในทุกๆ บ้านกันค่ะ เพราะน้ำพริกเนี่ย แสนจะมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ และร่างกาย และยังช่วยเผาพลาญไขมัน ควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วยนะคะ
ขึ้นชื่อว่า น้ำพริก แน่นอนว่าต้องมีส่วนผสมคือ “พริกขี้หนู” อย่างแน่นอน พริกขี้หนู นอกจากช่วยชูรสให้คุณเจริญอาหารดีแล้ว ยังมีสรรพคุณเป็น “ยา” อีกเพียบเชียวหล่ะ
หากว่าคุณมี อาการ คลื่นไส้อาเจียน โรคบิด หรืออาการมึนงง ลองรับประทานพริกขี้หนูดู ซักพักอาการเหล่านั้นจะทุเลาลงค่ะ อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ลดน้ำมูก และลดปริมาณคลอเรสเตอรอลได้อีกด้วย เพราะในพริกมีสารเผ็ดร้อน “แคปไซซิน ที่ช่วยเพิ่มอุณหภูมิ/ความร้อนในร่างกาย และช่วยในการเผาผลาญไขมัน ซึ่งมีประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนักได้
อีกทั้งในพริก ขี้หนู ยังอุดมไปด้วย โปรตีน ไขมัน เส้นใย แคลเซียม วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินบี 2  และวิตามินซี โดยวิตามินซีในพริก ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย แถมในพริกขี้หนูยังอุดมไปด้วย วิตามินเอ อย่างมากมายมหาศาลด้วยค่ะ
“กะปิ” ก็อุดมไปด้วยแคลเซียมมากมายเช่นกัน นอกจากนั้นในกะปิยังมีธาตุเหล็ก โปรตีน ไขมัน ไฟเบอร์ เรียกว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูงทีเดียว
“ผัก” ประเทศเรามีผักนับพันๆ ชนิด ผักทุกชนิดสามารถนำมารับประทานกับน้ำพริกได้ โดยจะรับประทานสดๆ หรือ ลวก นึ่ง ต้ม ก็สามารถทำได้แล้วแต่ความชอบของคุณเอง
การรับประทาน ผักมากๆ ทุกมื้อ และทุกวันได้ ยิ่งดีต่อสุขภาพ เพราะในผักแต่ละชนิดนั้นอุดมด้วยสารอาหารอันมีค่านับ 10 ชนิด แล้วผักนี่แหล่ะ ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง จิตใจสดชื่นได้ดียิ่งกว่าทานยาบำรุงต่างๆ เสียอีก อีกทั้งผักบางชนิดยังช่วยต้าน หรือรักษาอาการของโรคต่างๆ ได้ผลดีกว่ายาใดๆ อีกด้วยค่ะ
ผักเกือบทุกชนิดมันจะอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ ดังนี้
  • โปรตีน
  • ไขมัน
  • แคลเซียม
  • เหล็ก
  • วิตามิน เอ
  • วิตามิน บี 1
  • วิตามิน บี 2
  • วิตามิน ซี
  • ไฟเบอร์
เห็นมั้ยหล่ะ คะว่าอาหารไทย อย่างน้ำพริกเนี่ย อุดมไปด้วยสารอาหาร และประโยชน์ที่มากมายมหาศาลจริงๆ  กินได้ไม่เบื่ออีกด้วยนะคะ เพราะน้ำพริกมีให้เลือกกินมากกว่า 100 ชนิดเชียวค่ะ
อาหารไทยอาหารไทย
อาหารไทย